วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556




                             เงินแลกกับปัญญา

ครั้ง หนึ่ง ขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังซ่อมกำแพงที่ถล่มลงมา หลังจากฝนตกลงมาอย่างหนัก เขาได้ขุดพบทองคำก้อนใหญ่ ก้อนหนึ่ง เลยกลายเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตา
ชายคนนั้นรู้ตัวเองดีว่า ตัวเองค่อนข้างโง่ จึงไปปรึกษากับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง พระอาจารย์แนะนำว่าเจ้ามีเงิน ผู้อื่นมีปัญญา เจ้าทำไมไม่ใช้เงินไปซื้อปัญญาของคนอื่น
ชายคนนั้นจึงเข้าไปในเมืองเจอพระรูปหนึ่ง ชายนั้นจึงถามพระรูปนั้นว่าท่านจะขายปัญญาของท่านให้แก่ข้าพเจ้าได้หรือเปล่าพระนั้นตอบว่า "ปัญญาของอาตมาแพงนะ เจ้าสู้ไหวหรือ?” “ขอเพียงซื้อปัญญาได้แพงเท่าไหร่ ข้าพเจ้าก็สู้ชายนั้นตอบ
เมื่อเจ้าพบสิ่งที่ยากลำบากใจ เจ้าอย่าเพิ่งเร่งรีบตัดสินใจ ให้เดินไปข้างหน้า 3 ก้าว หลังจากนั้นเดินถอยไปข้างหลัง 3 ก้าว ทำซ้ำอย่างนี้ อีก 3 ครั้ง เจ้าก็จะได้ปัญญา
ปัญญา ง่ายอย่างนี้หรือ?” ชายคนนั้นทำท่าไม่เชื่อและลังเล กลัว พระรูปนั้นจะหลอกเอาเงิน พระรูปนั้นอ่านสายตานั้นออก จึงพูดว่า
เจ้ากลับไปก่อน ถ้าหากเจ้ารู้สึกว่าปัญญาของข้าพเจ้าไม่คุ้มกับเงินเหล่านี้ เจ้าก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว หากเจ้าคิดว่าคุ้ม เจ้าค่อยกลับมา
เมื่อกลับถึงบ้านในตอนค่ำมืด ชายคนนั้นเห็นเหมือนกับภรรยา กำลังนอนอยู่กับคนอื่น จึงถืออีโต้เข้าไปหวังจะฆ่าคนนั้น แต่ทันใดนั้นนึกถึงคำพูดของพระรูปนั้นในตอนกลางวัน
จึงเดินไปข้างหน้า 3 ก้าว เดินถอยหลัง 3 ก้าว ทำซ้ำอีก 3 ครั้ง ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น คนที่นอนอยู่กับภรรยาของเขาพูดขึ้นว่าลูกเอ๊ย ดึกๆอย่างนี้ทำอะไรอยู่นั่น?”
ชายคนนั้นเมื่อรู้ว่าเป็นเสียงมารดาของตนเอง จึงคิดในใจว่าหากกลางวันนี้ไม่ซื้อปัญญามา วันนี้คงจะฆ่าแม่ของตนเองแล้ว
วันรุ่งขึ้นจึงรีบนำเงินไปถวายพระรูปนั้นแต่เช้า


                        18 อรหันต์ทองคำ

ที่เชิงเขาผู่ถอ มีชายหาฟืนและครอบครัวอาศัยอยู่หลังหนึ่ง ครอบครัวนี้เลี้ยงชีพด้วยการหาฟืนมาหลายชั่วคนแล้วทุกๆเช้า ชายคนนี้จะออกไปหาฟืนแต่เช้า กว่าจะกลับก็ค่ำมืด ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก หากินมาไม่พอเลี้ยงปากท้อง ภรรยาของเขาเมื่อไปวัด จึงมักจะวิงวอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก
เหมือนสวรรค์มีตา วันหนึ่งโชคลาภก็มาถึง ชายหาฟืนคนนั้น ขุดพบรูปปั้นอรหันต์ทองคำมา 1 องค์ ชั่วพริบตานั้นเขาก็กลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาทันที เลยไปซื้อบ้านและไร่นา พร้อมกับจัดงานเลี้ยงฉลองกินกับญาติสนิทมิตรสหายกันอย่างครึกครื้นตามความเป็นจริงแล้วชายคนนั้นน่าจะรู้จักพอแล้ว น่าจะรู้จักรสชาติของเศรษฐีแล้ว แต่ก็อิ่มอกอิ่มใจได้ไม่นาน ความทุกข์กังวล ก็เริ่มมาแล้ว ถึงกับกินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ผุดลุกผุดนั่งทั้งวัน
ภรรยาของเขาจึงเตือนว่าตอนนี้บ้านเราเรื่องกินเรื่องอยู่ก็ไม่ขาด อะไร ทั้งยังมีเรือกสวนไร่นา บ้านหลังงาม เจ้ายังจะทุกข์กังวลอะไรอีก ? แม้จะมีขโมย ชั่วเวลาประเดี๋ยวประด๋าว ก็คงจะขโมยอะไรได้ไม่หมด เจ้าคนผีเฮงซวย เจ้าคนเกิดมาเพื่อจะจนตลอดชีวิต
ชายหาฟืนได้ยินภรรยาพูดอย่างนั้น จึงพูดอย่างรำคาญว่าแม่บ้านอย่างเจ้าจะรู้อะไร ? กลัวคนขโมยนั้นเรื่องเล็ก แต่เรื่องของ 18 อรหันต์ทองคำนี่ซี ข้าเพิ่งจะได้มาองค์เดียว อีก 17 องค์ ข้ายังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ? แล้วข้าจะสบายใจได้อย่างไร ?" ที่สุดชายตัดฟืนซึ่งคิดกังวลแต่เรื่องอยากได้ 17 อรหันต์ทองคำที่เหลือ ก็ล้มป่วยลง ป่วยได้ไม่นานก็ตายไป
ข้อคิดดีดี
ยิ่งมีธุรกิจมากมาย ยิ่งหาเวลามาดูใจตัวเองยาก จิตยิ่งสับสน ลุ่มหลงไปกับวัตถุ เงินทอง สุดท้ายตายแล้วจิตก็ยังขนวิญญาณเงินวิญญาณทองไปข้ามภพข้ามชาติ ไม่จบสิ้น...


                   ตะขาบ
กบตัวหนึ่งเห็นตะขาบเดินมา เลยมองขาตะขาบแล้วคิดจนเครียดว่า ตัวเรามี 4 ขา ยังเดินอย่างยากลำบาก แต่ตะขาบมีขานับไม่ถ้วน แล้วจะเดินยังไง เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ ตะขาบจะกำหนดยังไงว่าให้ขาไหนก้าวไปก่อนขาไหนขยับตาม แล้วเคลื่อนไหวขาไหนอีก
กบตัวนั้นดักตะขาบไว้แล้วจึงถามว่า
ข้าคิดจนสับสนหมดแล้ว มีปัญหาที่ข้าตอบตัวเองไม่ได้ว่า เจ้าเดินยังไง ใช้ขาเยอะแยะอย่างนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ข้าก็เดินของข้าอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ไหนๆก็ถามมาแล้ว ขอให้ข้าคิดก่อนแล้วกันตะขาบตอบ
ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดครั้งแรกที่เข้ามาสู่ความคิดคำนึงของตะขาบ ตะขาบยืนคิดอยู่หลายนาทีว่า ขาไหนขยับยังไง คิดจนวุ่น ไม่รู้ขยับขาไหนต่อขาไหนก่อน ที่สุดก็ขยับขาไม่ได้ เดินเป๋ไปหลายก้าว จึงหมอบลงไปแล้วพูดกับกบว่า
ขออย่าได้ถามปัญหาอย่างนี้กับตะขาบตัวอื่นเลย ข้าเดินของข้าอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมีปัญหาอะไร แต่ว่าตอนนี้เจ้าทำให้ข้าลำบากเสียแล้ว ข้าขยับไม่ได้แล้ว ขาของข้าทุกขาไม่รู้จะขยับขาไหนแล้ว ข้าจะทำยังไงดี
ข้อคิดดีๆ...
คนเราอยู่ดีๆ ก็มีความสุขอยู่แล้ว เวลาคนอื่นเอาปัญหาต่างๆ ของเขา มาเล่าให้ฟัง
แล้วเราจะไปทุกข์อะไรมากมายกับเขาทำไม
ชีวิตพอมีพอกินก็ไม่เห็นเดือดร้อยเลย
พอเห็นคนอื่นเล่าถึงชีวิต เขาดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ มีพร้อมเงินทอง ลาภยศ บ้าน รถ
แล้วเราก็เอามาเปรียบ มาคิดต่างๆ นานา
สุดท้ายความทุกข์ก็กัดกร่อนใจเราคนเดียว

หรือใครคิดอย่างไรก็ได้ .... นานาจิตตัง


                                           นรก

มีคนๆหนึ่งเมื่อตายแล้ว วิญญาณล่องลอยไปในที่แห่งหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเข้าประตู คนเฝ้าประตูถามว่า
เจ้าชอบกินหรือเปล่า? ที่นี่มีแต่ของกินที่วิเศษสุด
เจ้าชอบนอนหรือเปล่า? ที่นี่จะนอนนานแค่ไหนก็ไม่มีใครรบกวน
เจ้าชอบเล่นสนุกไหม? ที่นี่มีของเล่นทุกอย่างให้เลือก
เจ้าเบื่อทำงานใช่ไหม? ที่นี่รับรองว่าไม่ต้องทำอะไร และไม่มีใครบังคับเจ้า
วิญญาณนั้นรู้สึกดีใจที่ได้อยู่ที่นี่ อิ่มแล้วก็นอน นอนพอแล้วก็เล่น เล่นไปกินไป พอผ่านไป 3 เดือน รู้สึกเริ่มจะเบื่อ จึงไปหาคนเฝ้าประตูนั้น
ใช้ชีวิตทุกวันอย่างนี้ ไม่เห็นจะดีตรงไหน
เล่นมากจนเกินไป ก็ไม่เห็นจะสนุกอะไร
กินอิ่มเกินไป ก็ทำให้อ้วนขึ้นเรื่อยๆ
นอนมากเกินไป ก็ทำให้ความรู้สึกเฉื่อยชา
ของานให้ข้าทำหน่อยได้มั้ย?”
วิญญาณนั้นถาม
ขอโทษ ที่นี่ไม่มีงานให้ทำยามเฝ้าประตูตอบ
ผ่านไปอีก 3 เดือน วิญญาณนั้นทนไม่ได้แล้วจริงๆ พูดกับยามอีกว่า
ข้าทนอยู่อย่างนี้ไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าหากไม่ให้งานข้าทำ ข้ายอมตกนรกดีกว่า
ยามตอบว่า เจ้านึกว่าที่นี่เป็นสวรรค์หรือ?
ตรงนี้คือนรกต่างหาก มันทำให้เจ้าไม่ต้องใช้ความคิด
ไม่ต้องสร้างสรรค์ ไม่มีอนาคต ค่อยๆหลอมละลาย
การทรมานลักษณะนี้ ทรมานยิ่งกว่า เมื่อเทียบกับขึ้นภูเขามีด ลงกระทะทองแดง ซึ่งเป็นความทรมานทางกาย



                          ใครคือขี้วัว

ซูตงพอเป็นศิษย์ของพระอาจารย์เซนท่าน หนึ่ง ซูตงพอเป็นทั้งอำมาตย์และเป็นนักกวีชื่อดังแห่งยุค (พ.ศ. 1580 -1644) บ้านของเขาอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำกับวัด แต่ก็ไปมาหาสู่พระอาจารย์เป็นประจำ เพื่อมาต่อกลอนและมาภาวนาร่วมกัน
วันหนึ่งขณะที่นั่งสมาธิด้วยกัน พระอาจารย์นั่งนิ่งอยู่ในสมาธิ แต่ซูตงพอ นั่งได้ประเดี๋ยวเดียว ก็นั่งไม่ได้แล้ว เที่ยวมองไปก็มองมา เขานึกเอาเองว่าตัวเองนั่งสมาธิได้ไม่เลว จึงพูดกับพระอาจารย์ว่าท่านเห็นลักษณะการนั่งของข้าพเจ้าเป็นอย่างไร?”
เหมือนพระพุทธรูปองค์หนึ่ง
แล้วท่านนักประพันธ์ใหญ่เห็นอาตมาเหมือนอะไร”“เหมือนขี้วัวหนึ่งกองซูตงพอตอบ
พระอาจารย์ยิ้มๆ ไม่ว่าอะไรแล้วนั่งสมาธิต่อ ซูตงพออิ่มอกอิ่มใจที่สามารถพูดอำพระอาจารย์ได้ จึงกลับไปเล่าให้ คนที่บ้านฟัง คิดว่าคนที่บ้านต้องชมว่า ตนโต้ตอบได้ยอดเยี่ยมแน่ แต่น้องสาวของเขารู้สึกขำแล้วพูดว่า
พี่โง่จ๋า ยังจะนึกสะใจอยู่อีกพี่แพ้พระอาจารย์แล้ว
เป็นไปได้ยังไง? พี่แพ้ยังไง?”
พระอาจารย์ในสายตาของพี่ มองเหมือนกับขี้วัว แต่ที่แท้คือพุทธะ แต่พี่ดูเหมือนพุทธะ แต่ในจิตใจ บรรจุขี้วัวไว้เต็มไปหมด
ซูตงพอยังเหมือนกับไม่เข้าใจอยู่อีก น้องสาวเขาเลยอธิบายให้ฟังว่า
เพราะในจิตของพระอาจารย์มีแต่พุทธะ ดังนั้นในมุมมองของท่าน
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้จึงเป็นพุทธะ แต่พี่ยังภาวนาไปไม่ถึงไหน ในจิตย่อมมีแต่สิ่งสกปรก จึงเห็นพระอาจารย์เป็นขี้วัว
ซูตงพอฟังแล้วถึงได้เข้าใจ และรู้ว่าตัวเองเรื่องที่จะไปให้ถึงนั้นยังอยู่อีกไกล



              อุทิศส่วนกุศล 

มีชาวนาคนหนึ่งได้เชิญพระอาจารย์ ท่านหนึ่งไปที่บ้าน เพื่อสวดอภิธรรมให้กับศพของภรรยาที่เสียชีวิต หลังจากที่สวดเสร็จแล้ว ชาวนานั้นถามว่า
ท่านคิดว่า ภรรยาของผมจะได้ส่วนกุศลจากการสวดนี้สักเท่าไหร่
พระธรรมเหมือนยานแห่งความเมตตา เหมือนพระอาทิตย์ที่ส่องแสง ไม่แต่ภรรยาของเจ้าจะได้ คนอื่นๆยังพลอยได้รับส่วนกุศลไปด้วย
ชาวนานั้นรู้สึกไม่พอใจ พูดว่าภรรยาของ ข้าพเจ้าอ่อนแอมาก คนอื่นๆ ย่อมจะมาเอาเปรียบ แย่งเอาส่วนกุศลไป ขอให้ท่านสวดอุทิศส่วนกุศลให้เขาโดยเฉพาะ อย่าอุทิศให้กับผู้อื่น
พระอาจารย์พูดต่อไปว่าการแผ่ส่วนกุศลของตัวเองให้กับผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นได้รับส่วนกุศลโดยทั่วกัน เป็นสิ่งที่ดีที่เราชาวพุทธควรรักษาไว้
หลักการของการแผ่ส่วนกุศลเป็นการอุทิศจากเหตุไปหาผล จากส่วนน้อยไปหาส่วนใหญ่ ก็เหมือนกับ แสงสว่างไม่ได้เจาะจงจะส่องสว่างให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ แสงสว่างสามารถส่องให้กับคนได้ทั้งหมด เหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงเดียว ส่องสว่างให้กับคนทั้งโลก เหมือนเมล็ดพันธุ์ 1 เม็ด สามารถให้ผลผลิตได้นับไม่ถ้วน
เจ้าควรจะใช้จิตของเจ้า จุดสว่าง เทียนในใจให้กับตัวเอง แล้วไปจุดต่อให้กับเทียนเล่มอื่นๆ เพื่อทำให้แสงสว่างเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า และนั่นก็ไม่ได้ทำให้ตัวของเทียนเองต้องสูญเสียแสงสว่างแต่อย่างใด
ถ้าหากทุกคนมีจิตสำนึกอย่างนี้ จากจุดเล็กๆที่ตัวเรา รวมกันเป็นกลุ่มชนเป็นมหาชน จะดีสักแค่ไหน พุทธศาสนิกชนทุกคน ควรจะมองผู้คนอย่างเสมอภาคเหมือนกันหมด
ชาวนานั้นยังมีทิฐิอีก พูดต่อไปอีกว่าคำสอน นี้ดีมาก แต่ก็ยังอยากมีข้อยกเว้นอีกอย่าง คือคนข้างบ้านของข้าพเจ้า มักจะชอบกลั่นแกล้งและรังแกข้าพเจ้า ยกเว้นเขาสักคน ไม่ให้มารวมกลุ่มอยู่ในกลุ่มชนทั้งปวงได้ก็ดี
อยู่ใต้หล้าเดียวกัน มีอะไรต้องยกเว้นพระอาจารย์ตอง



                    สวยเพียบพูนด้วยเสน่ห์

มีอุบาสิกาหญิงคนหนึ่ง เกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรืออำนาจวาสนา หรือความสวยงามภายนอก เรียกได้ว่า หาคนเปรียบเทียบได้ยาก แต่ก็ยังไม่มีใครมารักมาชอบ ไม่มีแม้แต่คนที่มาคุยถูกคอ จึงไปขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ ว่าทำยังไงถึงจะมีเสน่ห์ให้คนมารักมาชอบ
พระอาจารย์เลยตอบว่า ถ้าเจ้าสามารถร่วมงานกับผู้อื่น ด้วยจิตที่มีเมตตา พูดจาด้วยคำเซน ฟังเสียงของเซน ทำเรื่องราวเกี่ยวกับเซน ใช้จิตของเซน เจ้าจะกลายเป็นผู้มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนมากที่สุด
คำของเซน พูดยังไงเจ้าคะ?” อุบาสิกานั้นถาม
คำของเซน คือพูดแต่เรื่องเรื่องดีๆ พูดแต่ความจริง พูดจาอ่อนน้อมถ่อมตน พูดแต่เรื่องที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น
แล้วเสียงของเซน ฟังยังไงเจ้าคะ?”
เสียงของเซนคือทำเสียงทั้งหมดให้เป็นเสียง ละเอียดอ่อน ทำเสียงด่าทอเป็นเสียงที่มีเมตตา ทำเสียงดูถูกเหยียดหยามเป็นเสียงที่คิดจะช่วยเหลือ และถ้าเจ้าฟังเสียงร้องไห้ เสียงวุ่นวาย เสียงหยาบ เสียงน่าเกลียด โดยที่เจ้าก็ไม่ถือสา นั่นคือเสียงของเซน
แล้วเรื่องราวของเซนทำยังไงเจ้าคะ
เรื่องของเซนคือ ทำบุญบริจาค ช่วยเหลือ งานกุศล ช่วยบรรเทาสาธารณภัย ทำสิ่งที่ถูกต้องตามศีลธรรม
แล้วจิตของเซนใช้ยังไงเจ้าคะ
จิตของเซนคือ จิตของเจ้า ของข้าพเจ้า ของปุถุชน ของอริยะชน ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นจิตที่ห่อหุ้มสรรพสิ่ง เป็นประโยชน์ให้กับสรรพสิ่ง
หลังจากที่อุบาสิกาท่านนั้นได้ฟังคำชี้แนะจากพระอาจารย์ จึงเปลี่ยน ความเย่อหยิ่งจองหองที่มีอยู่เดิม ไม่คุยโวโอ้อวดถึงฐานะตนเองต่อหน้าผู้อื่น ไม่ยกยอตัวเองว่าสวยเลอเลิศกว่าคนอื่น และมักจะอ่อนน้อมและมีมรรยาทต่อผู้อื่น เป็นห่วงเป็นใยและดูแลเอาใจใส่ต่อคนในปกครอง เมื่อปฏิบัติเช่นนี้ไปนานเข้า อุบาสิกาท่านนั้นก็ได้รับฉายาจากผู้อื่นว่า
เป็นอุบาสิกาที่มีเสน่ห์มากที่สุด



                      รู้ว่าเดินผิดทางแล้วละ

มีพระเซนรูปหนึ่ง เมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม มักออกจะท่องเที่ยวธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ได้พบกับคนชอบสูบบุหรี่คนหนึ่งระหว่างทาง ทั้งสองจึงเดินร่วมทางกันไปด้วยระยะหนึ่ง ขณะที่นั่งพักอยู่ริมธาร ชายคนนั้นได้ให้กล้องสูบยาและยาเส้นจำนวนหนึ่ง พระรูปนั้นรับสิ่งที่คนนั้นให้มาด้วยความยินดี จึงติดสูบยาเส้นอยู่ระยะหนึ่ง
วันหนึ่งจึงได้คิดว่า เจ้าสิ่งนี้ทำให้ตัวเองมีความสุขมาก คงจะรบกวนการทำสมาธิแน่นอน ถ้าหากปล่อยให้เสพติดอย่างนี้ต่อไป ก็จะกลายเป็นความเคยชินที่ไม่ดีและแก้ยาก น่าจะเลิกเสียแต่แรกดีกว่า จึงนำกล้องและยาไปทิ้ง
ผ่านไปอีกระยะหนึ่งก็ไปหมกมุ่นอยุ่กับคัมภีร์ ยี่จิง เรียนรู้จนสามารถคำนวญและทำนายอะไรต่างๆได้ วันหนึ่งในหน้าหนาว อากาศหนาวสะท้านไปทั่ว พระเซนนั้นเลยเขียน จ.ม. ไปขอเสื้อกันหนาวจากพระอาจารย์ของตัวเอง แต่ว่า จ.ม.ส่งออกไปตั้งนาน นานจนหน้าหนาวผ่านไป หิมะบนภูเขาก็ละลายไปหมดแล้ว แต่พระอาจารย์ก็ยังไม่ได้ส่งเสื้อกันหนาวมา และก็ไม่มีข่าวคราวใดๆจากพระอาจารย์มาเลย พระรูปนั้นเลยใช้ตำราคัมภีร์ ยี่จิงมาผูกดวงเอง ที่สุดก็คำนวญออกมาว่า จ.ม.ฉบับนั้นส่งไปไม่ถึงมือพระอาจารย์
เขาคิดในใจว่า แม้ว่าคัมภีร์ ยี่จิง จะแม่นยำ แต่ว่าถ้าเรายังหมกมุ่นอยู่กับทางเดินสายนี้ จะมุ่งมั่นแน่วแน่ปฏิบัติธรรมได้อย่างไร? ตั้งแต่นั้นมาเลยไม่ไปเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับคัมภีร์นี้อีก
หลังจากนั้น พระรูปนั้นก็ไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของการขีดๆเขียนๆอีก ทุกวันก็มักจะนั่งอ่าน ค้นคว้า ขีดเขียนอยู่แต่กับหนังสือ มีผลงานออกมาหลายเล่มจนได้รับการยกย่องจากคนในวงการไม่ขาดปาก
วูบหนึ่ง ท่านคิดได้ว่า เรากลับมาเดินห่างจากเส้นทางแห่งมรรคอีกแล้ว ถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป เราคงจะต้องกลายเป็นนักประพันธ์ นักวิชาการ ก็คงจะเป็นพระอาจารย์เซนไม่ได้แล้ว"
ตั้งแต่นั้นมาเลยตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเดียว ละทิ้งทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรม ที่สุดก็กลายเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของนิกายเซน


                            ผิดบาปที่ใคร

ศิษย์และอาจารย์เดินผ่านท่าน้ำริม ทะเล เห็นชาวเรือกำลังจะนำเรือออกจากท่าเพื่อที่จะไปส่งผู้โดยสาร หลังจากเรือลงน้ำไปแล้ว ที่ชายหาดมี กุ้ง หอย ปู ปลา โดนทับตายเป็นจำนวนมาก ทำให้เห็นแล้ว รู้สึกน่าสงสารยิ่งนัก
ลูกศิษย์ : ขณะที่ชาวเรือนำเรือออกไปนั้น ทำให้ กุ้ง หอย ปู ปลาแถวนั้นตายไปไม่น้อย ขอถามหน่อยว่า เป็นความผิดบาปของชาวเรือหรือผู้โดยสาร
พระอาจารย์ : ไม่ได้เป็นบาปของชาวเรือ และไม่ได้เป็นบาปของผู้โดยสาร
ลูกศิษย์ : ถ้าไม่ได้เป็นบาปของทั้งสองฝ่าย แล้วจะเป็นบาปของใคร
พระอาจารย์ : ก็เป็นของเจ้านะซี
พระอาจารย์พูดต่อว่าพุทธศาสนาแม้จะพูดถึงวัฏสงสาร แต่ในแง่ของคน เมื่อพูดในฐานะเป็นมนุษย์ เรื่องราวบางอย่าง บางครั้งก็ไม่สามารถพูดให้ชัดแจ้งลงไปได้ ชาวเรือประกอบอาชีพนี้เพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้อง ผู้โดยสารจำเป็นต้องขึ้นเรือ เพราะต้องเดินทาง กุ้ง ปู โดนเรือกดทับ เพราะซ่อนตัวอยู่ในทราย นี่เป็นความผิดใคร ?
กรรมเกิดจากจิต จิตไม่มี กรรมก็ไม่มี
จิตไม่มี จะสร้างกรรมได้อย่างไร
แม้จะมีบาปกรรม ก็เป็นบาปที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ
แต่เจ้า สิ่งที่ไม่มีสร้างให้มี
สร้างผิดถูกขึ้นมาเอง
แล้วนี่จะไม่ใช่ผิดบาปที่เจ้าหรอกหรือ ?


                          นกที่บินหลงทาง

ที่ภู เขาต้าเยี่ยน มีพระรูปหนึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น ท่านเป็นพระที่เทศน์เก่งมาก ท่านมักจะใช้สิ่งที่มีชีวิตรอบตัวสอดแทรกธรรมะ จากนั้นก็ใช้คำง่ายๆแต่งเป็นโศลก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง อุบาสกท่านหนึ่งถามท่านว่า
มีคนพูดกันว่า การบูชาใดๆต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวงในสากลโลก ก็ไม่เท่ากับการบูชาต่อผู้ที่ดำเนินตามทางแห่งมรรคเพียงคนเดียว ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเป็นอย่างไร ? คนเดินตามทางเดินแห่งมรรคมีบุญกุศลใด
พระรูปนั้นพูดเป็นโศลก ว่า
เพียงแค่มีเมฆหมอกมาบดบัง นกก็ยังหลงทางบินกลับรัง "
" เป็นเพราะว่ามีเมฆหมอกมาปิดทางกลับรังของนก นกจึงหาทางกลับรังไม่ถูก ถ้าเรามัวแต่บูชาพระพุทธองค์ จิตย่อมจดจ่อและยึดติดอยู่กับองค์พระ ทำให้ตัวเองกลับเดินหลงทาง ผู้ที่เดินตามทางแห่งมรรคย่อมทำให้จิตตัวเอง สะอาด และสว่างกลับมารู้จักตัวเอง จิตจึงไม่หลงทาง
อุบาสกคนนั้นถามต่อว่า โบสถ์วิหารเป็นดินแดนแห่งความสงบ
และสะอาด ทำไมถึงต้องตีกลองและเคาะปลาไม้
พระรูปนั้นตอบเป็นโศลกว่า
เพื่อตีให้เสียงก้องกังวานไป เพื่อมิให้เหล่ามังกรนั่งคำนับ
วัดที่เงียบสงบต้องตีกลองและเคาะ ปลาไม้มีความหมายที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ในนั้น ธรรมดาปลาอยู่ในน้ำ ไม่เคยปิดตา ดังนั้นการเคาะ ปลาไม้จึงเป็นการแสดงถึงความขยันฝึกฝน ไม่เกียจคร้าน การตีกลองก็เพื่อย้ำเตือนให้ผู้คน เลิกทำบาป และสร้างกุศล
อุบาสกท่านนั้นถามต่ออีกว่า
เมื่อปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านก็ได้ ทำไมถึงต้องออกบวชอีก
พระรูปนั้นตอบเป็นโศลกว่า
นกยูงแม้จะมีปีกที่สวยงาม แต่ก็บินได้ไม่สูงเฉกเช่นนกอื่น

" การปฏิบัติธรรมที่บ้านเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อบวชแล้วย่อมจะตั้งมั่น และแน่วแน่กว่า ย่อมจะไปได้ไกลกว่า


                               ยังงั้นรึ

          พระอาจารย์เซ็นชื่อฮะกูอิน  ได้รับยกย่องจากชาวบ้านว่าเป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอย่างบริสุทธิ์  ที่ใกล้วัดของท่าน มีร้านขายของชำอยู่ร้านหนึ่ง เจ้าของร้านมีลูกสาวสวยอยู่คนหนึ่ง จู่ๆ พ่อแม่ของหญิงสาวได้พบว่า ลูกสาวของตนได้ตั้งท้องขึ้นโดยไม่รู้เบาะแสมาก่อน
          เหตุการณ์นี้ทำให้เขาทั้งสองโกรธมาก จึงพยายามเค้นเอาความจริง  ลูกสาวใจเด็ดไม่ยอมปริปากบอกว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง แต่ในที่สุด เมื่อถูกบังคับขู่เข็ญนักเข้า จึงหลุดปากออกมาว่า พ่อของเด็กคือท่านอาจารย์ฮะกูอิน
          สองตายายจึงวิ่งแจ้นไปด่าว่าอาจารย์ฮะกูอินด้วยความโกรธจัด  ท่านอาจารย์ย้อนถามว่า"ยังงั้นรึ"
          เมื่อเด็กเกิดมาแล้ว พ่อแม่ของหญิงสาวได้นำเด็กไปให้อาจารย์ฮะกูอินเลี้ยง มาถึงตอนนี้ชื่อเสียงของท่านได้เสื่อมไปหมดแล้ว แต่ท่านก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร เอาใจใส่เลี้ยงดูเด็กอย่างดี โดยซื้อนมและอาหารที่จำเป็นสำหรับเจ้าหนูน้อยจากชาวบ้านข้างเคียง
          หนึ่งปีให้หลัง  แม่ของเด็กสุดที่จะทนดูเหตุการณ์ต่อไปได้ จึงสารภาพความจริงกับพ่อแม่ว่า  พ่อที่แท้จริงของเด็กนั้นคือ เจ้าหนุ่มที่ตลาดขายปลา หาใช่ท่านอาจารย์ฮะกูอินไม่
          สองตายายได้ฟังดังนั้นจึงรีบไปหาท่านอาจารย์ฮะกูอิน ขอโทษขอโพยในความผิดของตนอย่างยืดยาวและขอรับเด็กกลับ
          ท่านอาจารย์ฮะกูอินย้อนถามเช่นเดิมว่า"ยังงั้นรึ" แล้วนำเด็กมามอบให้

                                   ผิดกับถูก

         เวลาที่อาจารย์บันไกจัดสัปดาห์ แห่งการปฏิบัติกรรมฐาน  มีศิษย์อยู่ปฏิบัติจากส่วนต่างๆของประเทศญี่ปุนเป็นจำนวนมาก คราวหนึ่งศิษย์คนหนึ่งโดนจับด้วยข้อหาลักทรัพย์ พวกเขาจึงรายงานให้อาจารย์บันไกทราบ พร้อมเสนอให้เนรเทศเจ้าขโมยคนนั้น แต่อาจารย์บันไกก็เฉยเสีย
          ต่อมา ศิษย์คนนั้นโดนจับด้วยความผิดเช่นเดียวกัน  อาจารย์บันไกก็เฉยเสียอีก  เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ไม่พอใจ  จึงยื่นข้อเสนอให้อาจารย์ขับเจ้าหัวขโมยคนนั้นออกให้ได้ หาไม่พวกเขาจะพากันออกไปหมด
          เมื่ออ่านข้อเสนอ  อาจารย์บันไกเรียกประชุมศิษย์ทั้งหมด  กล่าวว่า   "พวก เธอเป็นคนฉลาด  รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก  พวกเธอจะไปที่ไหนก็ไปเถิด  แต่ศิษย์ผู้น่าสงสารคนนี้  ไม่รู้กระทั่งว่าอะไรผิดอะไรถูก  ถ้าฉันไม่สอนเขา  แล้วใครเล่าจะสอน  ฉันจะต้องให้เขาอยู่ที่นี่แหละ  แม้ว่าพวกเธอจะจากฉันไปทั้งหมดก็ตาม"
          น้ำตาได้ไหลอาบแก้มเจ้าศิษย์ขี้ขโมย  เขาตัดสินใจเลิกขโมยแต่นั้นมา

                         เพื่อจิตใจงดงาม  

ดึกสงัด ขโมยคนหนึ่ง ถือมีดย่องเข้าไปในอาราม ข่มขู่อาจารย์เซ็นชีหลี่ว่า
"เอาเงินออกมาเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะฆ่าเสีย"
อาจารย์เซ็นชีหลี่กล่าวว่า "อย่ามารบกวนอาตมาทำสมาธิภาวนา เงินอยู่ในลิ้นชัก
ไปหยิบเอง!"
ขโมยคนนั้นรีบไปค้นที่ลิ้นชัก เก็บเอาเงินไปหมด
ขณะที่จะจากไปอาจารย์เซ็นชีหลี่กล่าวว่า "อย่าเอาไปหมดนะ
เหลือไว้หน่อยให้อาตมาซื้อดอกไม้ไหว้พระพรุ่งนี้"
ขโมยจึงทิ้งเงินเล็กน้อยไว้ในลิ้นชัก
พอหันหลังจะจากไปอาจารย์เซ็นชีหลี่ก็กล่าวอีกว่า "ไม่ขอบคุณสักคำหรือ?"
ขโมยจึงกล่าวขอบคุณก่อนสาวเท้าจากไป
หลังจากนั้น ขโมยผู้นี้ได้ก่อคดีขึ้นอีก กระทั่งถูกมือปราบจับตัวไว้ได้
ขโมยให้การว่าเคยปล้นเงินของอาจารย์เซ็นชีหลี่
ขณะที่มือปราบเรียกตัวอาจารย์เซ็นชีหลี่ไปให้การชี้ตัวจำเลย
อาจารย์ชีหลี่กลับให้การว่า "เขาไม่ใช่ขโมย เขาไม่ได้ปล้นอาตมา
อาตมาให้เงินเขาเอง เขาขอบคุณอาตมาแล้ว"
คำให้การของอาจารย์เซ็นชีหลี่ช่วยให้ขโมยผู้นี้ได้ลดหย่อนผ่อนโทษ
เมื่อขโมยผู้นี้พ้นโทษจึงปลงผมออกบวชขอเป็นศิษย์จากอาจารย์เซ็นชีหลี่อย่างซาบซึ้งตื้นตันและยินยอมพร้อมใจ
เห็นได้ชัดว่าอาจารย์เซ็นชีหลี่เป็นอาจารย์เซนที่แท้จริง ท่านมิเพียงละกิเลส
บำเพ็ญธรรม เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากสังสารวัฏเท่านั้น
ยังชักนำผู้อื่นสู่หนทางหลุดพ้นด้วยจิตใจเมตตาการุณย์
เปี่ยมด้วยปฏิภาณและสติปัญญาอันเฉียบแหลม
คนเราถ้าช่วยตัวเองให้อยู่สุขสบายได้แล้ว ควรจะช่วยเหลือผู้อื่นด้วย
เพราะการช่วยเหลือผู้อื่นก็เท่ากับสร้างบุญกุศลให้ตัวเอง
ถึงไม่ได้หวังผลตอบแทนก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น