วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โกรธไปทำไม



โกรธไปทำไม?

  เลิกโกรธกันเถอะ..........วิธีไม่โกรธ  โกรธไปทำไม?
             ๑. พิจารณาโทษของความโกรธ ว่าเป็นพิษแก่ร่างกาย ทำให้กิน ไม่ได้ นอนไม่หลับ จิตใจก็รุ่มร้อน ทำให้หน้าตาไม่น่าดู คนใกล้ชิดก็พลอย อึดอัดและไม่อยากเข้าใกล้ ทำให้ลืมตัวก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ซึ่งอาจลงเอยด้วยการบาดเจ็บล้มตาย ถ้าเราไม่โกรธ กายก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ใจก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ คนใกล้ชิดก็ไม่ต้องเดือดร้อนไปด้วย นับเป็นผลดีแก่ตัวเราและ บุคคลรอบข้าง
           ๒. อย่าใส่ใจ อย่านึกถึงเรื่องราวหรือบุคคลที่ทำให้โกรธ เมื่อไม่ นึกถึง ไม่ใส่ใจ ก็ย่อมละความโกรธได้ อุปมาเหมือนว่า เรากำลังดูโทรทัศน์ อยู่ มีภาพอันน่าเกลียดที่เราไม่ชอบ เราก็หลับตาเสีย หรือปิดโทรทัศน์
           ๓. เปลี่ยนเรื่องคิด คิดถึงเรื่องที่ไม่ทำให้โกรธ เช่น
คิดถึงสิ่งดีๆ ที่เราภูมิใจ เช่น เป็นที่รักของคนในครอบครัว เป็น พลเมืองดีของประเทศชาติ
คิดถึงธรรมชาติอันสวยงาม ลำธารที่มีน้ำเย็นใสสะอาดกำลังไหลริน ท้องฟ้าที่งดงามด้วยรุ้งหลากสี ดอกไม้ที่มีสีสันสวยสด มีกลิ่นหอมชื่นใจ
           คิดถึงฐานะ วัย ยศ ตระกูล การศึกษา แล้วระงับความโกรธ เช่น ผู้ใหญ่ที่ลุแก่อำนาจโทสะดุด่าลูกน้องโดยไร้เหตุผลก็เสียผู้ใหญ่ ผู้น้อยที่ ก้าวร้าวชอบโต้เถียงกับผู้ใหญ่ก็เสียมารยาท และเสียอนาคตด้วย
           ๔. หางานทำเพื่อให้เพลิดเพลินจนลืมความโกรธ เช่น ออกกำลัง ดูโทรทัศน์ เดินเล่น ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ
           ๕. ค้นหาสาเหตุของความโกรธ ว่ามีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็น ปัจจัย เพราะเหตุใดจึงเกิดขึ้น ถ้าพบรากเหง้าอันเป็นต้นเหตุของความโกรธแล้ว ก็จะระงับความโกรธได้ไม่ยาก
           ๖. ระบายความโกรธทิ้งไป โดยหาที่เงียบสงัดลับหูลับตาผู้คน แล้วตะโกนดังๆ ออกมาให้สาสม หรือเขียนระบายความโกรธ ความคับแค้นใจออกมา เขียนชื่อศัตรูหรือสัญลักษณ์ซึ่งเป็นตัวแทนศัตรูบนกระดาษ จากนั้นก็ขีดฆ่า ขยี้ด้วยมือ แล้วเผาให้เป็นเถ้าถ่าน เมื่อระบายความโกรธแล้วก็ให้อภัย เลิกโกรธ (ใช้วิธีนี้ต่อเมื่อวิธีอื่นๆ ไร้ผล)
           ความโกรธเป็นภัยใหญ่ของโลก เป็นผู้ก่อการร้ายตัวจริง เป็นศัตรูตัวจริงของมนุษยชาติ แม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายก็กลับกลายเป็นศัตรูกันได้เพราะความโกรธ มนุษย์ต้องหาทางทำลายความโกรธจึงจะถูกต้อง มิใช่มาเข่นฆ่าล้างผลาญกันเองเพราะถูกความโกรธบงการ วิธีการอันหลากหลาย ที่ได้เสนอมานี้เปรียบเสมือนเกราะและอาวุธนานาชนิด ขอเชิญท่านผู้อ่านเลือกสรรตามชอบใจเพื่อนำไปใช้ผจญกับความโกรธ ถึงแม้จะฆ่าความโกรธไม่ตาย แต่ก็ช่วยป้องกันตนเองให้ปลอดภัยได้
           สันติภาพจะเริ่มปรากฏเมื่อลดความโกรธลง ขอให้ท่านผู้อ่านช่วยกัน ทำหน้าที่ "ทูต" นำข่าวสารสำคัญนี้ไปแจ้งให้แก่ "ใจ" ทุกดวง ให้ช่วยกันลดความโกรธ เมื่อความโกรธลดลง สงคราม การก่อการร้าย การทะเลาะ วิวาท ก็จะลดน้อยลง โลกก็จะปลอดภัยและมีสันติสุขมากขึ้น
           ตาต่อตา ฟันต่อฟัน โลกบรรลัย
           ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้อภัยแก่กัน โลกสุขสันต์
ความโกรธเป็น ภัยใหญ่ โปรดได้รู้ เป็นศัตรู อำมหิต พิษร้ายเหลือ
เป็นผู้ฆ่า คนมากมาย ตายเป็นเบือ         ร้ายกว่าเสือ ความโกรธ ช่างโหดจริง
           
สันติภาพ ปรากฏ เมื่อลดโกรธ      สร่างทุกข์โทษ สุขใจ ทั้งชายหญิง
ความโกรธคลาย สันติคืน ยั่งยืนจริง       โลกสุขยิ่ง เมื่อระงับ ดับโกรธเอย

        กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อกับลูกชายคู่หนึ่งอาศัยอยู่กันสองคน ตัวลูกชายนั้นมีนิสัยขี้โมโหมากๆ โกรธง่าย เมื่อโกรธมักจะพูดต่อว่าคนรอบข้างอย่างรุนแรงพอไม่นานก็หายโกรธแล้วก็ไปขอโทษ แต่ทำให้ใครต่อใครเสียใจมามากมาย  วันหนึ่งพ่อได้พูดกับลูกชายว่าหากเจ้ารู้สึกโมโห โกรธขึ้นมาเมื่อใด เจ้าจงนำตะปูไปตอกที่ฝาบ้าน1 ดอกลูกชายก็รับคำ วันต่อมาก็ทำตาม พอเมื่อตกเย็นพ่อก็ถามลูกชายว่าเจ้ารู้สึกดีขึ้นไหมลูกชายก็พยักหน้างั้นเราไปดูที่ฝาผนังบ้านกันพ่อบอกกับลูกชาย พลางเดินนำไปที่ฝาบ้าน ปรากฎว่ามีตะปูตอกอยู่ที่ฝาบ้านเต็มไปหมดเจ้าลองถอนตะปูนี่ออกให้หมดเสียสิพ่อสั่ง ลูกชายทำตาม พลางถอนตะปูจำนวนมากนั้นออกไปจนหมด ซึ่งกินเวลานานพอสมควรตอนนี้ฝาบ้านเรามีแต่รอยตะปูเต็มไปหมดเลยนะ เจ้าสามารถทำให้รอยเหล่านี้หายไปได้หรือไม่
           ลูกชายก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้รอยตะปูที่นั้นหายไป แต่ทำเท่าไรก็ไม่ผล ผู้เป็นพ่อจึงสอนต่อไปว่าเจ้าฟังไว้นะ การที่เจ้าตอกตะปูลงไปมันหมายถึงเวลาที่เจ้าบันดาลโทสะกับคนอื่น เจ้าอาจจะทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของคนอื่น จนเป็นร่องรอยเหมือนกับรอยตะปู ถึงแม้เจ้าจะถอนตะปูออกไปเหมือนกับการที่เจ้าไปขอโทษเขา รอยตะปูนั้นมันก็ยังอยู่ยากที่จะทำให้มันหายไป ใจคนก็เช่นกันเจ้าทำร้ายจิตใจเขาไปแล้วถึงแม้จะไปขอโทษแต่ความเจ็บปวดนั้นก็ยังติดอยู่ในใจเขาไปอีกนาน หลังจากนั้นมาลูกชายก็ปรับปรุงตัวขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลายเป็นคนดีไม่โกรธใครง่ายๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา            ลูกชายก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้รอยตะปูที่นั้นหายไป แต่ทำเท่าไรก็ไม่ผล ผู้เป็นพ่อจึงสอนต่อไปว่าเจ้าฟังไว้นะ การที่เจ้าตอกตะปูลงไปมันหมายถึงเวลาที่เจ้าบันดาลโทสะกับคนอื่น เจ้าอาจจะทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของคนอื่น จนเป็นร่องรอยเหมือนกับรอยตะปู ถึงแม้เจ้าจะถอนตะปูออกไปเหมือนกับการที่เจ้าไปขอโทษเขา รอยตะปูนั้นมันก็ยังอยู่ยากที่จะทำให้มันหายไป ใจคนก็เช่นกันเจ้าทำร้ายจิตใจเขาไปแล้วถึงแม้จะไปขอโทษแต่ความเจ็บปวดนั้นก็ยังติดอยู่ในใจเขาไปอีกนาน หลังจากนั้นมาลูกชายก็ปรับปรุงตัวขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลายเป็นคนดีไม่โกรธใครง่ายๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
           ลูกชายก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้รอยตะปูที่นั้นหายไป แต่ทำเท่าไรก็ไม่ผล ผู้เป็นพ่อจึงสอนต่อไปว่าเจ้าฟังไว้นะ การที่เจ้าตอกตะปูลงไปมันหมายถึงเวลาที่เจ้าบันดาลโทสะกับคนอื่น เจ้าอาจจะทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของคนอื่น จนเป็นร่องรอยเหมือนกับรอยตะปู ถึงแม้เจ้าจะถอนตะปูออกไปเหมือนกับการที่เจ้าไปขอโทษเขา รอยตะปูนั้นมันก็ยังอยู่ยากที่จะทำให้มันหายไป ใจคนก็เช่นกันเจ้าทำร้ายจิตใจเขาไปแล้วถึงแม้จะไปขอโทษแต่ความเจ็บปวดนั้นก็ยังติดอยู่ในใจเขาไปอีกนาน หลังจากนั้นมาลูกชายก็ปรับปรุงตัวขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลายเป็นคนดีไม่โกรธใครง่ายๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
           ลูกชายก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้รอยตะปูที่นั้นหายไป แต่ทำเท่าไรก็ไม่ผล ผู้เป็นพ่อจึงสอนต่อไปว่าเจ้าฟังไว้นะ การที่เจ้าตอกตะปูลงไปมันหมายถึงเวลาที่เจ้าบันดาลโทสะกับคนอื่น เจ้าอาจจะทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของคนอื่น จนเป็นร่องรอยเหมือนกับรอยตะปู ถึงแม้เจ้าจะถอนตะปูออกไปเหมือนกับการที่เจ้าไปขอโทษเขา รอยตะปูนั้นมันก็ยังอยู่ยากที่จะทำให้มันหายไป ใจคนก็เช่นกันเจ้าทำร้ายจิตใจเขาไปแล้วถึงแม้จะไปขอโทษแต่ความเจ็บปวดนั้นก็ยังติดอยู่ในใจเขาไปอีกนาน หลังจากนั้นมาลูกชายก็ปรับปรุงตัวขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลายเป็นคนดีไม่โกรธใครง่ายๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น