วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ของวิเศษ



                                                     ของวิเศษ

 



   หลายคนมักจะตั้งคำถามว่า ชีวิตฉันเวลาดีก็แสนดี เวลาเจอเรื่องราวอะไรก็จะหนักเป็นพิเศษ แต่แค่ครู่เดียวแล้วก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีเคล็ดลับอะไร
   ดิฉันรู้เสมอว่าตัวเองมีของขลัง ของดีวิเศษ เป็นสิ่งนำโชค คุ้มครองอันตราย พาเราผ่านทุกปัญหา และอุปสรรคได้อย่างปลอดภัย ของดีที่ว่าคือ ความรักของพ่อแม่ ความรักของครอบครัว ถ้าคนคนหนึ่ง รักพ่อแม่ รักครอบครัว คนคนนั้นจะทำชั่วไม่ได้ เพราะจะทำให้พ่อแม่เสียใจ แล้วใจที่รู้อยู่เต็มอกว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่สิ่งดีๆ ดีที่สุดเท่าที่หนึ่งสมอง สองมือ ของปุถุชนคนหนึ่งทำได้ จะเป็นใจที่มั่นคง มีศรัทธา ไม่หวั่นไหว เชื่อมั่นในความดีงาม เกิดอะไรไม่ดีขึ้นก็รู้ว่า เพราะเราเลือกเอง ทำเอง ที่ดึงดูดคนไม่ดี สิ่งแวดล้อมไม่ดี สถานการณ์ไม่ดี แล้วการที่มันแสดงตัวของมันเป็นความไม่ดีออกมาก็ดีแล้ว เราจะได้รู้ แล้วเลือกใหม่ เริ่มต้นใหม่ ทุกขณะคือการเลือก เอาใจชนิดไหนไปเลือก ก็ได้ชีวิตแบบนั้นกลับมา
   ทุกคนรู้ แล้วก็รู้ด้วยว่า มันยากตรงที่ใจ ใจที่ชอบคิดสิ่งที่ไม่ควรคิด ต้องใช้ใจที่มีกำลังมาก ที่จะสลัดแรงดึงดูด ให้ไปคิดถึงคนที่ไม่ควรคิดถึง ไม่ให้พูด ทำ หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กีดขวางชีวิตที่งอกงาม
   ถ้าเราเห็นความรักของพ่อแม่ ความรักรอบตัวเรา เราจะรู้ว่ายามที่เรามีทุกข์ คนที่รักเราทุกข์กว่าเราเป็นไหนๆ เวลาที่เราหมกหมุ่นกับปัญหาหรือความทุกข์ของเรา เรากำลังเห็นแก่ตัว เอาหน้าชนกำแพง จนลืมมองเห็นประตูทางออกของปัญหาที่อยู่ข้างๆ เพียงเราหยุดหมกหมุ่นจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เราจะเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เห็นความรัก ความปรารถนาดี ความดีงามรอบตัว และตรงนั้นแหละ ที่เราจะเห็นว่าทางออกของปัญหา อยู่ตรงหน้าเราเสมอ
   ปัญหาทุกปัญหา ขังเราไว้ด้วยกำแพงความคิด ที่เราสร้างเป็นเงื่อนไข ไว้ขังตัวเอง เพียงเราปล่อยความยึดถือ ความคิด ความเห็น ความต้องการบางอย่าง ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้ เพื่อตัวเอง เพื่อคนที่รักเรา ปล่อยความคิดที่เป็นเงื่อนไข ฉุดรั้งเราไว้ แล้วก้าวต่อไป สร้างชีวิตที่งดงามและมีคุณค่า ให้ชีวิตคุณ เป็นประกาศณียบัตรให้พ่อแม่ ว่าท่านได้ทำหน้าที่ ได้อย่างเต็มกำลัง งดงาม และสมบูรณ์เพียงใด
จะดูแลความรักได้อย่างไร
ดิฉันยังจำวันที่เดินทางมาถึงบ้านคุณพ่อคุณแม่ของสามีที่อังกฤษ หลังจากเราแต่งงานกันที่เมืองไทย ได้เพียงเดือนเศษๆ ตอนนั้น ดิฉันเริ่มตั้งครรภ์อ่อนๆ แล้ว มันเป็นวันหนึ่งในเดือนมกราคมที่อากาศหนาวมาก แต่ความหนาวของร่างกายในวันนั้น ยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของความหนาวทางจิตใจที่ดิฉันกำลังจุ่มอยู่ในคืนนั้น
ดิฉันนั่งอยู่บนโซฟาเบื้องหน้าคนแปลกหน้าอันมีคุณพ่อคุณแม่น้องสาวและหลานสาว ที่กำลังเดินเตาะแต่ะ รวมทั้งสามีในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ที่มีแผ่นเตาผิง ทำให้ร่างกายของดิฉันอบอุ่นมากขึ้น แต่ในจิตใจของดิฉันยังคงหนาวมากอยู่ ราวกับกำลังเดินฝ่าพายุหิมะด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าอยู่ที่ขั้วโลกใต้เพียงคนเดียว
ทันใดนั้น ดิฉันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในหัวร้องตะโกนลั่นว่า
ตายแล้ว นี่เราได้ตัดสินใจทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตแล้วหรือนี่ความรู้สึกตอนนั้น อยากให้เหตุการณ์นั้นเป็นเพียงฝันร้ายที่ดิฉันสามารถตื่นขึ้นมาได้อีก อยากให้เป็นเช่นนี้ว่า เมื่อเปิดประตูห้องเล็กๆ นั้นออกมา จะสามารถเห็นหน้าครอบครัวของดิฉันอันมีพ่อแม่พี่น้องที่อบอุ่นอยู่รอบข้าง แทนที่จะเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักเหล่านี้ มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมากสำหรับเจ้าสาวที่ควรยังอยู่ในบรรยากาศของฮันนีมูน ดิฉันไม่เคยนึกว่าชีวิตแต่งงานจะไปรอดจนถึงบัดนี้เวลาก็ได้ผ่านไปแล้วถึง 25 ปี
สิ่งที่แน่นอนของชีวิตมนุษย์คือ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ดังที่ชาวพุทธมักพูดว่า ทุกอย่างเป็นอนิจจัง โดยเฉพาะความรู้สึกของคนเรา ยิ่งเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก วันนี้อาจจะรู้สึกมั่นใจเหลือเกินว่าสิ่งที่เราตัดสินใจทำลงไปนั้นถูกต้องล้านเปอร์เซนต์ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป มีเหตุการณ์ที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนเกิดขึ้น กลับไม่แน่ใจในการกระทำของตนเองเสียแล้ว โดยเฉพาะการแต่งงานซึ่งเป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ไม่ว่าเราจะแต่งงานด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ และหากมีลูกด้วยกันแล้ว เราไม่สามารถย้อนเข็มนาฬิกากลับได้อีกต่อไป ไม่สามารถเอาคู่ครองและครอบครัวของเรากลับคืนให้ใครได้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ การดูแลครอบครัวของเราให้เจริญงอกงามด้วยความรัก ความอบอุ่น พยายามสร้างสิ่งสวยงามให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อถึงยามแก่เฒ่าแล้ว สิ่งมีค่าที่สุดสำหรับชีวิตของเราคือ เหตุการณ์อันเนื่องกับความทรงจำในอดีตเท่านั้นที่จะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ชีวิตมีชีวาขึ้นมาได้ หากชีวิตครอบครัวของเราเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่มีแต่ความสุขแล้วละก็ เราในฐานะที่เป็นพ่อหรือแม่ก็สามารถภูมิใจในตนเองได้ว่า เราเป็นผู้สร้างสิ่งงดงามเหล่านั้นขึ้นมา แต่หากรูปการณ์เป็นไปในทางตรงกันข้ามแล้ว ชีวิตในยามแก่เฒ่าของเราย่อมเต็มไปด้วยความเสียใจ ขมขื่น รู้สึกสำนึกผิด และสิ่งที่มักจะพูดกับตนเองคือ ถ้าหากสามารถย้อนเข็มนาฬิกาได้แล้วละก็ จะทำทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราได้ทำไป ซึ่งแน่นอน เราไม่สามารถย้อนเข็มนาฬิกาได้อีกแล้ว
ฉะนั้น ในฐานะที่ดิฉันได้ใช้ชีวิตแต่งงานซึ่งเป็นทั้งภรรยาและแม่คนมาถึง 25 ปีแล้ว ย่อมมีประสบการณ์ชีวิตเพียงพอที่จะเผื่อแผ่แก่เด็กๆ ที่กำลังจะก้าวย่างเข้ามาสู่การมีความรัก มีคู่ครองและมีครอบครัว เราควรที่จะดูแลรักษาคู่ครองและลูกๆ ของเราอย่างไร จึงจะทำให้ความรักภายในครอบครัวเจริญเติบโต งอกงามขึ้นมาได้ เพื่อเราจะได้มีสิ่งสวยงามไว้เชิดชูจิตใจของเราในยามแก่เฒ่า การฟังคำแนะนำของผู้มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเป็นปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตคู่ของเราประสบความสำเร็จมากขึ้น       ความรับผิดชอบ
ฝรั่งมีคำพูดว่า You made your bed, you lay on it. คุณเป็นคนปูที่นอน คุณก็นอนซะสิ ซึ่งหมายถึงการรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง สำนวนนี้มักใช้กับหนุ่มสาวที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ หรือมีลูกคนแรก และเริ่มพบปัญหาชีวิต จึงรู้ว่าชีวิตแต่งงานไม่ได้หวานชื่นและสวยงามเหมือนทางที่โรยด้วยดอกกุหลาบ อยากเดินหนีไปให้ไกลที่สุด เมื่อมีโอกาสได้คุยกับพ่อแม่ของตนเองแล้วละก็ มักจะได้ยินประโยคนี้เสมอว่า เธอได้ปูที่นอนแล้ว ก็ต้องนอนซะสิคือ พยายามบอกให้ลูกของตนรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง การรับผิดชอบนี้เป็นคุณธรรมที่สำคัญมากที่สุดที่จะทำให้ชีวิตคู่ดำเนินไปได้ตลอดรอดฝั่ง และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ความรักเจริญงอกงาม และพบความสวยงามของชีวิตได้ในกาลต่อมา
ชีวิตแต่งงานโดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีแรกนั้น ย่อมเป็นเรื่องท้าทายมาก เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะพิสูจน์ความดีที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีลูกเล็กเข้าไปแล้ว ความหวานชื่นที่คนสองคนเคยดูแลและเอาใจซึ่งกันและกันย่อมมีน้อยลง แทนที่ด้วยภาระหน้าที่การงานอันหนักหน่วงเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูแลครอบครัวของตนเอง ชายหญิงที่สามารถรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูภรรยา สามี และลูกของตนเองได้ตลอดรอดฝั่งนั้น ต้องยกย่องว่านั่นเป็นการประสบความสำเร็จของการเป็นมนุษย์ที่น่าพอใจมากในระดับหนึ่งทีเดียว นี่จะเป็นสิ่งงดงามสิ่งแรกในชีวิตแต่งงานที่เหลือไว้ให้มองกลับได้ในยามแก่เฒ่า
โดยสถิติที่เกิดขึ้นในสังคมส่วนมากแล้ว หญิงมักจะเป็นฝ่ายที่ถูกชายทอดทิ้งและต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกขึ้นมาด้วยลำแข้งของตนเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ชายยังต้องเรียนรู้เรื่องการรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองมากขึ้น เพื่อจะได้อย่างน้อยที่สุดก็ตายเป็นสุข ไม่มีอะไรค้างคาใจตนเองอยู่
เห็นแก่ตัวเองน้อย เห็นแก่คนอื่นมาก
ดิฉันคงมีอายุราว 8 ขวบ จำได้ถึงวันที่กลับจากโรงเรียนแล้วคุณแม่เรียกให้ไปทานขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นหนึ่งที่มีไส้ทุเรียน และมีไข่แดงติดมาเสี้ยวหนึ่งได้อย่างแม่นยำ แม่บอกว่า เพื่อนบ้านเอามาให้ ซึ่งขนมไหว้พระจัดจัดเป็นขนมที่แพงสำหรับฐานะครอบครัวของดิฉัน ดิฉันจึงไม่มีโอกาสได้ทานบ่อยนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขนมชนิดนี้จะมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น ไม่ได้ทำขายตลอดทั้งปีอย่างสมัยนี้ เมื่อได้ยินว่ามีขนมไหว้พระจันทร์อยู่ในบ้าน จึงรีบนำมาทานอย่างเอร็ดอร่อย จำไม่ได้ว่า ทำไมวันนั้น จึงมีเพียงดิฉันกับคุณแม่เท่านั้นที่อยู่บ้าน ในขณะที่กำลังทานขนมอย่างอร่อยสุด ๆ อยู่นั้น ก็สะดุดนึกขึ้นมาได้ทันทีว่า หากมีขนมไหว้พระจันทร์แค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียวอยู่ในบ้านละก็ เราคงจะทานมันหมดก่อนทันที ไม่เหลือไว้ให้ใคร นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสถึงความรักที่แม่มีต่อลูกอย่างแท้จริง หลังจากนั้น ดิฉันก็เฝ้าสังเกตเรื่อยมา แม่มักจะบอกให้พวกเราลูกๆ ทานข้าวที่เพิ่งหุงใหม่เสมอ และแม่จะทานข้าวที่เหลือค้างจากเมื่อวานเอง คนที่เห็นแก่ตัวคงเป็นแม่ที่ดีให้คนไม่ได้ เพราะคงไม่มีขนมในบ้านเหลือให้ลูกทานแน่นอน
คนที่จะรับผิดชอบต่อคนอื่นนอกเหนือจากตนเองแล้ว คุณสมบัติสำคัญที่บุคคลผู้นั้นต้องมีคือ เห็นแก่ตัวเองน้อย เห็นแก่ผู้อื่นมาก คนที่ไม่เห็นแก่ตัวเองเท่านั้น จึงจะสามารถรักคนอื่นได้อย่างแท้จริง การเอาความเห็นแก่ตัวออกจากตนเองเป็นสิ่งที่เป็นมงคลกับตนเองก่อน และผู้อื่นก็จะได้ความเป็นมงคลนั้นจากเราไปอีกทอดหนึ่ง
ความไม่เห็นแก่ตัวต้องถือเป็นคุณธรรมหลักในการดูแลความรักให้เจริญเติบโต งอกงาม ซึ่งคุณธรรมข้อนี้จะต้องเริ่มจากผู้เป็นพ่อแม่ก่อน จึงจะถ่ายทอดให้ลูกได้ พอไม่เห็นแก่ตัวแล้ว คุณธรรมย่อยๆ ก็ตามมา เช่น ความอ่อนโยน สงสาร เมตตา เกรงใจ ห่วงใย ให้เกียรติและไม่ทำร้ายน้ำใจซึ่งกันและกัน อดทน ดูแลกัน เขาสุข เราก็ดีใจกับเขาอย่างแท้จริง เขาทุกข์ เราก็ทุกข์ร้อนด้วย ช่วยเขา อยากให้เขาเป็นสุข เครื่องปรุงเหล่านั้นจะเกิดขึ้นมาได้ ก็ต้องเริ่มจากการละตัวตน หรือละทิ้งความเห็นแก่ตัวเองทั้งสิ้น ล้วนเป็นเรื่องการเห็นแก่ความสุขของผู้อื่นก่อน จึงจะทำได้ ซึ่งธรรมชาติหัดให้มนุษย์เริ่มทำกับคนรอบข้างที่เรารักก่อน เช่น พ่อแม่ พี่น้อง สามี ภรรยา และลูกๆ ของเรา ซึ่งทำได้ง่ายกว่ากับคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ฉันครอบครัว อย่าง เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน คนแปลกหน้า ตลอดจนถึงเพื่อนร่วมโลก
ในอีกแง่หนึ่ง เราสามารถมองคุณสมบัติเหล่านี้เหมือนเครื่องปรุงย่อยๆ แต่สำคัญมาก ที่จะทำให้เกิดอาหารจานสำเร็จที่เรียกว่า ความรักหากเปรียบเทียบกับการปลูก ต้นรักแล้ว คุณสมบัติย่อยๆ เหล่านี้ก็เหมือนการลดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย เพื่อดูแลให้ต้นรักนี้เจริญเติบโตงอกงามขึ้นมาได้ ทำให้มีสิ่งสวยสดงดงามให้เราได้มองย้อนกลับและภูมิใจได้ในยามแก่เฒ่า
ไม่อิจฉา
เมื่อเราเห็นแก่ตัวเองน้อยลงแล้ว ความรู้สึกอิจฉาจะน้อยลงด้วย สามีภรรยาที่ยังมีความอิจฉาซึ่งกันและกันแล้ว มักจะมีความตึงเครียดและอาจถึงขั้นที่อยู่ด้วยกันไม่รอด เมื่อฝ่ายหนึ่งประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ คนที่ไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้นจึงจะดีใจกับความสำเร็จของคู่ครองได้อย่างแท้จริง ความอิจฉาในคู่ครองหรือแม้ในลูกของตนเองนั้น เป็นสิ่งที่น้อยคนจะยอมรับอย่างเปิดเผยกับตนเอง ไม่ต้องพูดถึงการยอมรับกับคนอื่นเลย ซึ่งหากใครยังมีความรู้สึกอิจฉาอยู่ในส่วนลึกของหัวใจแล้วละก็ ย่อมหมายความว่า เรายังไม่ได้ดูแลความรักของเราให้เจริญงอกงามอย่างเต็มที่ สิ่งนี้จะกลายเป็นเรื่องที่ติดตัวและคาใจตัวเองในยามแก่เฒ่า ฉะนั้น ใครที่อยากสำรวจตัวเองว่าสามารถรักคู่ครองและครอบครัวของเราได้จริงหรือไม่นั้น ก็ควรดูความรู้สึกอิจฉาของตนเองทุกครั้งที่คู่ครองของเราประสบความสำเร็จ
พูดโดยสรุปแล้ว เสียงที่ก้องอยู่ในหัวที่มักบอกว่า นี่ของฉัน” “นี่ความเจ็บปวดของฉัน” “นี่ควรเป็นการได้หน้าได้ตาของฉันหรือ เสียงอะไรก็ได้ที่มักเน้นว่า ของฉันเสียงเหล่านี้ในหัวต้องค่อยๆ น้อยลงไปหากใครอยากให้ชีวิตครอบครัวประสบความสำเร็จจนถึงขนาดถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร
ในความเห็นของดิฉันแล้ว ความไม่เห็นแก่ตนเองต้องนับว่าเป็นสิ่งที่สวยสดงดงามมากที่สุดของชีวิต นี่เป็นคุณสมบัติเด่นที่ทำให้ชีวิตแต่งงานของดิฉันอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้

Problem shared, Problem halved
เคยสงสัยว่าทำไมพ่อแม่จึงอยากให้แต่งงาน มีคู่ครอง เพราะสาเหตุหนึ่งเป็นเรื่องของสองหัวดีกว่าหัวเดียว ตรงกับคำพังเพยของฝรั่งว่า Problem shared, Problem halved หมายความว่า เมื่อมีการเล่าปัญหาหนักอกให้ฟังซึ่งกันและกันแล้ว ปัญหานั้นจะน้อยลงไปครึ่งหนึ่งทันที นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างชีวิตคู่มาให้มนุษย์ เพราะการแบกปัญหาไว้คนเดียวย่อมหนักกว่าสองคนแบก ปัญหาของมนุษย์มีทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น วันนี้ทำผมอย่างไรก็ไม่ถูกใจเสียที ส่องกระจกทีไร ก็เห็นแต่คนขี้เหร่ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ เช่น การทำมาหารับประทาน เจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องคอขาดบาดตาย หากใครมีคู่ครองที่สามารถพูดกันได้อย่างเปิดหัวใจกันแล้ว ต้องนับว่าเป็นความสวยสดงดงามอย่างหนึ่งของชีวิต และเป็นเรื่องที่โชคดีมากของคนๆ นั้น เพราะเพียงการได้คุยถึงปัญหาของเราอย่างเปิดอกเท่านั้น ความเจ็บปวด ความหนักที่เหมือนแบกภูเขาในอกก็จะค่อยๆ คลายไปเอง เป็นการแก้ปัญหาชีวิตทางหนึ่งที่ง่ายดายมากหากมีคู่ครองที่พึ่งพาหูของกันและกันได้ นี่เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคู่ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
โดยเฉพาะมาถึงเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยแล้ว ธรรมชาติสร้างชีวิตคู่มาให้มนุษย์เพราะต้องการให้คนสองคน ดูแลมนุษย์อีกคนหนึ่งให้เจริญเติบโต ขึ้นมาได้จนถึงจุดที่เขาสามารถรับผิดชอบดูแลตัวเองได้ การเลี้ยงลูกคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เป็นความต้องการของธรรมชาติ ฉะนั้น หากใครมีคู่ครองและมีลูกด้วยกันแล้วละก็ ควรพยายามรักษาความรักของตน ดูแลน้ำใจของกันและกันให้ดี ต้องรู้ว่า นี่เป็นความโชคดีอย่างมหาศาลของตนเองแล้ว ต้องพยายามละความเห็นแก่ตัว และประคับประคองชีวิตครอบครัวให้ตลอดรอดฝั่ง อย่าทิ้งสิ่งมีคุณค่าเหล่านี้เพียงเพราะอยากลองของใหม่ที่น่าตื่นเต้นมากกว่า เพราะจะทำให้เสียใจภายหลัง อย่าลืมว่า เราไม่สามารถย้อนเข็มนาฬิกาได้แล้ว พ่อแม่คู่ใดที่สามารถให้กำเนิดและดูแลลูกเต้าของตนเองจนเติบใหญ่ รับผิดชอบต่อตนเองและยังเป็นคนดีของสังคมแล้ว ต้องนับว่า พ่อแม่คู่นี้ประสบความสำเร็จในการเป็นมนุษย์ในระดับที่น่าพอใจยิ่ง จะเป็นสิ่งที่ตนเองภูมิใจได้ในยามแก่เฒ่า
ต้องเข้าใจความเป็นอนิจจัง
ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ตื่นเต้น หรือเจ็บปวด เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน มันเปลี่ยนแปลง จากสุขก็กลายเป็นทุกข์ และกลายเป็นสุขและทุกข์อีก จากความตื่นเต้น ก็กลายเป็นความเบื่อหน่าย แล้วก็ตื่นเต้นเบื่อหน่ายอีก อยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่เป็นภาพรวมที่ผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากเท่านั้นจึงจะดูออก เป็นความรู้ที่มากับอายุ ยิ่งมีอายุมากขึ้น ก็จะยิ่งดูออกว่าชีวิตมันก็แค่นี้เอง
ฉะนั้น การจะทำให้ชีวิตคู่ประสบความสำเร็จมากขึ้นนั้น เจ้าของชีวิตจะต้องรู้จักอดทนเมื่อถูกมรสุมชีวิตพัดกระหน่ำ ต้องพยายามแก้ปัญหาด้วยความอดทนและเห็นแก่ตัวน้อยที่สุด ต้องรู้ว่าเหตุการณ์ที่เจ็บปวดเหล่านั้นจะไม่อยู่เช่นนั้นตลอดไป มันจะเปลี่ยนแปลง และดีขึ้นได้ หากให้เวลากับมัน จึงไม่ควรตีโพยตีพายหรือตัดช่องน้อยแต่พอตัว หลบหนีปัญหาโดยเอาตัวเองให้รอดก่อน ใครที่ทำเช่นนี้ ย่อมไม่ได้สร้างสิ่งงดงามในชีวิตให้ตนเองได้ชื่นชมในยามแก่เฒ่า นอกจากนั้น หากมีเหตุการณ์ที่นำความสุข ตื่นเต้น หวือหวา เดินผ่านหน้าบ้านของเราแล้ว ก็ต้องรู้เช่นกันว่า เหตุการณ์นั้นจะไม่อยู่ยงคงกระพัน มันจะต้องหายไป จึงไม่ควรพาใจตนเองเข้าไปกอดรัดอย่างเต็มที่ราวกับว่ามันจะอยู่อย่างถาวร เพราะเมื่อมันผ่านไปแล้ว เราจะได้ไม่เจ็บปวดและโหยหา แต่จะทำให้เราฉลาดขึ้น เพราะนี่คือชีวิต ไม่มีอะไรคงทนถาวรสักสิ่งเดียว ลูกเล็กๆ ที่เคยน่ารัก ไร้เดียงสา ว่านอนสอนง่ายนั้น สักวันหนึ่ง ความไร้เดียงสาเหล่านั้นต้องหมดไป ในที่สุด เขาต้องแต่งงาน ออกจากบ้านและสร้างรังใหม่ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ ยอมรับทุกอย่างที่มาปะทะเราด้วยจิตใจที่หนักแน่น ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ ต้องพยายามเข้าใจกฎสากลของธรรมชาติอันคือ ความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง
ต้องรู้จักตักตวงความสุขที่แท้จริง
ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การจินตนาการถึงอนาคตที่อาจเป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ เช่น ขอให้มีพร้อมทุกอย่างก่อน ขอให้ลูกโตก่อน เรียนจบก่อน ทำงานได้ก่อน แต่งงานก่อน มีหลานก่อน จึงจะเป็นสุข นั่นเป็นการคิดถึงความสุขอย่างลมๆ แล้งๆ โดยลืมคิดถึงตัวแปรที่สำคัญคือ ความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง รวมถึงความตายที่อาจมาถึงตัวเราและคนที่เรารักในวันพรุ่งนี้ ความสุขที่แท้จริงอยู่ข้างหน้า ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เสมอ อยู่ที่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นอย่างจำเจในชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นขึ้นมาทุกเช้าได้เห็นใบหน้าของคู่ครอง ได้เห็นหน้าลูก เห็นหน้าพ่อแม่ พี่น้อง ที่ดูเหมือนจำเจ แต่ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ได้ซ่อนความสุขที่ลึกซึ้งของชีวิตไว้มากทีเดียว
คนที่จะซาบซึ้งและเห็นคุณค่าของใบหน้าเก่าๆ ที่เราเห็นจำเจทุกวันได้ คือ คนเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากใครเคยไปติดอยู่ในสนามบินที่ไม่ใช่ของบ้านเราเพียงคนเดียว ในท่ามกลางคนแปลกหน้ามากมายที่อยู่รอบข้างนั้น จะรู้ได้ทันทีว่า ใบหน้าที่เราเห็นจำเจนั้นมีคุณค่าต่อเรามากเพียงใด และหากได้เห็นในขณะนั้น จะมีความสุขมากเพียงใด
คนที่เข้าใจถึงความลึกซึ้งของความสุขเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ จะสามารถสร้างสิ่งที่อบอุ่นและสวยงามให้เกิดขึ้นภายในครอบครัวได้ ดิฉันเห็นว่า การล้อมวงทานข้าวด้วยกัน และคุยเรื่องสัพเพเหระได้นั้น เป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่าทางจิตใจชิ้นหนึ่งที่สมาชิกในครอบครัวสามารถสร้างให้กันและกันได้ และจะเป็นสมบัติทางจิตใจชิ้นสำคัญที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตในวัยชรามีความสุขได้อย่างไม่จบสิ้น เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว
เมื่อใดที่รักตัวเองน้อยลง เมื่อนั้นจึงจะรักผู้อื่นได้มากขึ้น

โกรธไปทำไม



โกรธไปทำไม?

  เลิกโกรธกันเถอะ..........วิธีไม่โกรธ  โกรธไปทำไม?
             ๑. พิจารณาโทษของความโกรธ ว่าเป็นพิษแก่ร่างกาย ทำให้กิน ไม่ได้ นอนไม่หลับ จิตใจก็รุ่มร้อน ทำให้หน้าตาไม่น่าดู คนใกล้ชิดก็พลอย อึดอัดและไม่อยากเข้าใกล้ ทำให้ลืมตัวก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ซึ่งอาจลงเอยด้วยการบาดเจ็บล้มตาย ถ้าเราไม่โกรธ กายก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ใจก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ คนใกล้ชิดก็ไม่ต้องเดือดร้อนไปด้วย นับเป็นผลดีแก่ตัวเราและ บุคคลรอบข้าง
           ๒. อย่าใส่ใจ อย่านึกถึงเรื่องราวหรือบุคคลที่ทำให้โกรธ เมื่อไม่ นึกถึง ไม่ใส่ใจ ก็ย่อมละความโกรธได้ อุปมาเหมือนว่า เรากำลังดูโทรทัศน์ อยู่ มีภาพอันน่าเกลียดที่เราไม่ชอบ เราก็หลับตาเสีย หรือปิดโทรทัศน์
           ๓. เปลี่ยนเรื่องคิด คิดถึงเรื่องที่ไม่ทำให้โกรธ เช่น
คิดถึงสิ่งดีๆ ที่เราภูมิใจ เช่น เป็นที่รักของคนในครอบครัว เป็น พลเมืองดีของประเทศชาติ
คิดถึงธรรมชาติอันสวยงาม ลำธารที่มีน้ำเย็นใสสะอาดกำลังไหลริน ท้องฟ้าที่งดงามด้วยรุ้งหลากสี ดอกไม้ที่มีสีสันสวยสด มีกลิ่นหอมชื่นใจ
           คิดถึงฐานะ วัย ยศ ตระกูล การศึกษา แล้วระงับความโกรธ เช่น ผู้ใหญ่ที่ลุแก่อำนาจโทสะดุด่าลูกน้องโดยไร้เหตุผลก็เสียผู้ใหญ่ ผู้น้อยที่ ก้าวร้าวชอบโต้เถียงกับผู้ใหญ่ก็เสียมารยาท และเสียอนาคตด้วย
           ๔. หางานทำเพื่อให้เพลิดเพลินจนลืมความโกรธ เช่น ออกกำลัง ดูโทรทัศน์ เดินเล่น ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ
           ๕. ค้นหาสาเหตุของความโกรธ ว่ามีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็น ปัจจัย เพราะเหตุใดจึงเกิดขึ้น ถ้าพบรากเหง้าอันเป็นต้นเหตุของความโกรธแล้ว ก็จะระงับความโกรธได้ไม่ยาก
           ๖. ระบายความโกรธทิ้งไป โดยหาที่เงียบสงัดลับหูลับตาผู้คน แล้วตะโกนดังๆ ออกมาให้สาสม หรือเขียนระบายความโกรธ ความคับแค้นใจออกมา เขียนชื่อศัตรูหรือสัญลักษณ์ซึ่งเป็นตัวแทนศัตรูบนกระดาษ จากนั้นก็ขีดฆ่า ขยี้ด้วยมือ แล้วเผาให้เป็นเถ้าถ่าน เมื่อระบายความโกรธแล้วก็ให้อภัย เลิกโกรธ (ใช้วิธีนี้ต่อเมื่อวิธีอื่นๆ ไร้ผล)
           ความโกรธเป็นภัยใหญ่ของโลก เป็นผู้ก่อการร้ายตัวจริง เป็นศัตรูตัวจริงของมนุษยชาติ แม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายก็กลับกลายเป็นศัตรูกันได้เพราะความโกรธ มนุษย์ต้องหาทางทำลายความโกรธจึงจะถูกต้อง มิใช่มาเข่นฆ่าล้างผลาญกันเองเพราะถูกความโกรธบงการ วิธีการอันหลากหลาย ที่ได้เสนอมานี้เปรียบเสมือนเกราะและอาวุธนานาชนิด ขอเชิญท่านผู้อ่านเลือกสรรตามชอบใจเพื่อนำไปใช้ผจญกับความโกรธ ถึงแม้จะฆ่าความโกรธไม่ตาย แต่ก็ช่วยป้องกันตนเองให้ปลอดภัยได้
           สันติภาพจะเริ่มปรากฏเมื่อลดความโกรธลง ขอให้ท่านผู้อ่านช่วยกัน ทำหน้าที่ "ทูต" นำข่าวสารสำคัญนี้ไปแจ้งให้แก่ "ใจ" ทุกดวง ให้ช่วยกันลดความโกรธ เมื่อความโกรธลดลง สงคราม การก่อการร้าย การทะเลาะ วิวาท ก็จะลดน้อยลง โลกก็จะปลอดภัยและมีสันติสุขมากขึ้น
           ตาต่อตา ฟันต่อฟัน โลกบรรลัย
           ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้อภัยแก่กัน โลกสุขสันต์
ความโกรธเป็น ภัยใหญ่ โปรดได้รู้ เป็นศัตรู อำมหิต พิษร้ายเหลือ
เป็นผู้ฆ่า คนมากมาย ตายเป็นเบือ         ร้ายกว่าเสือ ความโกรธ ช่างโหดจริง
           
สันติภาพ ปรากฏ เมื่อลดโกรธ      สร่างทุกข์โทษ สุขใจ ทั้งชายหญิง
ความโกรธคลาย สันติคืน ยั่งยืนจริง       โลกสุขยิ่ง เมื่อระงับ ดับโกรธเอย

        กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อกับลูกชายคู่หนึ่งอาศัยอยู่กันสองคน ตัวลูกชายนั้นมีนิสัยขี้โมโหมากๆ โกรธง่าย เมื่อโกรธมักจะพูดต่อว่าคนรอบข้างอย่างรุนแรงพอไม่นานก็หายโกรธแล้วก็ไปขอโทษ แต่ทำให้ใครต่อใครเสียใจมามากมาย  วันหนึ่งพ่อได้พูดกับลูกชายว่าหากเจ้ารู้สึกโมโห โกรธขึ้นมาเมื่อใด เจ้าจงนำตะปูไปตอกที่ฝาบ้าน1 ดอกลูกชายก็รับคำ วันต่อมาก็ทำตาม พอเมื่อตกเย็นพ่อก็ถามลูกชายว่าเจ้ารู้สึกดีขึ้นไหมลูกชายก็พยักหน้างั้นเราไปดูที่ฝาผนังบ้านกันพ่อบอกกับลูกชาย พลางเดินนำไปที่ฝาบ้าน ปรากฎว่ามีตะปูตอกอยู่ที่ฝาบ้านเต็มไปหมดเจ้าลองถอนตะปูนี่ออกให้หมดเสียสิพ่อสั่ง ลูกชายทำตาม พลางถอนตะปูจำนวนมากนั้นออกไปจนหมด ซึ่งกินเวลานานพอสมควรตอนนี้ฝาบ้านเรามีแต่รอยตะปูเต็มไปหมดเลยนะ เจ้าสามารถทำให้รอยเหล่านี้หายไปได้หรือไม่
           ลูกชายก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้รอยตะปูที่นั้นหายไป แต่ทำเท่าไรก็ไม่ผล ผู้เป็นพ่อจึงสอนต่อไปว่าเจ้าฟังไว้นะ การที่เจ้าตอกตะปูลงไปมันหมายถึงเวลาที่เจ้าบันดาลโทสะกับคนอื่น เจ้าอาจจะทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของคนอื่น จนเป็นร่องรอยเหมือนกับรอยตะปู ถึงแม้เจ้าจะถอนตะปูออกไปเหมือนกับการที่เจ้าไปขอโทษเขา รอยตะปูนั้นมันก็ยังอยู่ยากที่จะทำให้มันหายไป ใจคนก็เช่นกันเจ้าทำร้ายจิตใจเขาไปแล้วถึงแม้จะไปขอโทษแต่ความเจ็บปวดนั้นก็ยังติดอยู่ในใจเขาไปอีกนาน หลังจากนั้นมาลูกชายก็ปรับปรุงตัวขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลายเป็นคนดีไม่โกรธใครง่ายๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา            ลูกชายก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้รอยตะปูที่นั้นหายไป แต่ทำเท่าไรก็ไม่ผล ผู้เป็นพ่อจึงสอนต่อไปว่าเจ้าฟังไว้นะ การที่เจ้าตอกตะปูลงไปมันหมายถึงเวลาที่เจ้าบันดาลโทสะกับคนอื่น เจ้าอาจจะทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของคนอื่น จนเป็นร่องรอยเหมือนกับรอยตะปู ถึงแม้เจ้าจะถอนตะปูออกไปเหมือนกับการที่เจ้าไปขอโทษเขา รอยตะปูนั้นมันก็ยังอยู่ยากที่จะทำให้มันหายไป ใจคนก็เช่นกันเจ้าทำร้ายจิตใจเขาไปแล้วถึงแม้จะไปขอโทษแต่ความเจ็บปวดนั้นก็ยังติดอยู่ในใจเขาไปอีกนาน หลังจากนั้นมาลูกชายก็ปรับปรุงตัวขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลายเป็นคนดีไม่โกรธใครง่ายๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
           ลูกชายก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้รอยตะปูที่นั้นหายไป แต่ทำเท่าไรก็ไม่ผล ผู้เป็นพ่อจึงสอนต่อไปว่าเจ้าฟังไว้นะ การที่เจ้าตอกตะปูลงไปมันหมายถึงเวลาที่เจ้าบันดาลโทสะกับคนอื่น เจ้าอาจจะทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของคนอื่น จนเป็นร่องรอยเหมือนกับรอยตะปู ถึงแม้เจ้าจะถอนตะปูออกไปเหมือนกับการที่เจ้าไปขอโทษเขา รอยตะปูนั้นมันก็ยังอยู่ยากที่จะทำให้มันหายไป ใจคนก็เช่นกันเจ้าทำร้ายจิตใจเขาไปแล้วถึงแม้จะไปขอโทษแต่ความเจ็บปวดนั้นก็ยังติดอยู่ในใจเขาไปอีกนาน หลังจากนั้นมาลูกชายก็ปรับปรุงตัวขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลายเป็นคนดีไม่โกรธใครง่ายๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
           ลูกชายก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้รอยตะปูที่นั้นหายไป แต่ทำเท่าไรก็ไม่ผล ผู้เป็นพ่อจึงสอนต่อไปว่าเจ้าฟังไว้นะ การที่เจ้าตอกตะปูลงไปมันหมายถึงเวลาที่เจ้าบันดาลโทสะกับคนอื่น เจ้าอาจจะทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของคนอื่น จนเป็นร่องรอยเหมือนกับรอยตะปู ถึงแม้เจ้าจะถอนตะปูออกไปเหมือนกับการที่เจ้าไปขอโทษเขา รอยตะปูนั้นมันก็ยังอยู่ยากที่จะทำให้มันหายไป ใจคนก็เช่นกันเจ้าทำร้ายจิตใจเขาไปแล้วถึงแม้จะไปขอโทษแต่ความเจ็บปวดนั้นก็ยังติดอยู่ในใจเขาไปอีกนาน หลังจากนั้นมาลูกชายก็ปรับปรุงตัวขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลายเป็นคนดีไม่โกรธใครง่ายๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ชาวกูย' วิถีคนเลี้ยงช้าง



เรื่องเล่า'ชาวกูย' วิถีคนเลี้ยงช้าง



 
ไม่ ใช่เรื่องง่ายที่เรื่องราวของใครคนหนึ่งจะกลายเป็นตำนานถูกเล่าขานผ่านคน รุ่นแล้วรุ่นเล่า ดังเรื่องราวของชาว "กูย" หรือ "กวย" คนเลี้ยงช้างแห่งบ้านตา กลาง อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ที่เต็มไปด้วยการผจญภัยอันตื่นเต้น โลดโผน และแฝงไว้ด้วยคติ ความเชื่อ อันมีผลต่อวิถีชีวิต และความคิดของคนในชุมชนสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน

"การจับ ช้าง ไม่มียาก ไม่มีง่าย เพราะเราชำนาญในเรื่องนี้ ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด กระทั่งมาถึงรุ่นพวกผมก็ได้เรียนรู้ทั่วถึงกัน ผมเองเริ่มจับช้างตั้งแต่อายุ 14 ปี ก็ตื่นเต้นทุกครั้ง ที่แรกที่ไปคือป่ากัมพูชา ตอนนั้นไปง่ายมาง่าย เขาไม่ได้หวง ไม่ได้ห้ามอะไร แต่เดี๋ยวนี้เขาห้ามแล้ว ไปยังไงก็ไปไม่ได้ เดินเท้าเข้าไปเขาก็ยังห้ามอีก"

พ่อหมิว ศาลางาม หมอช้างรุ่นสุดท้าย วัย 79 ปี เล่าถึงความหลังเมื่อครั้งร่วมขบวนไปตระเวนจับช้างป่าแถบชายแดนเขมร ก่อนจะเลิกราไปในปีพ.ศ.2498 เพราะทางการเขมรห้าม ประกอบกับรัฐบาลไทยมีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าออกมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน

อาชีพจับช้างป่าของชาวบ้านตากลางที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษจึงกลายเป็นสิ่งต้องห้ามนับแต่นั้นมา

ใน โอกาสที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรจัด "เทศกาลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น" ขึ้น เพื่อผลักดันให้คนท้องถิ่นนำเสนอเรื่องราวของตนเองในเวทีระดับประเทศ เรื่องราวของ "ชาวกูย" ก็เป็นอีกประวัติศาสตร์ที่ถูกหยิบยกมาพูดถึง

"กู ย" หรือ "กวย" เป็นคนกลุ่มเดียวกับที่คนภาคกลางเรียกว่า "ส่วย" ประวัติสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ระบุว่า คนสุรินทร์จะใช้ช้างบรรทุกสิ่งของมาส่งที่เมืองหลวง เรียกว่า "ส่งส่วย" เลยถูกคนภาคกลางเรียกว่า "พวกส่วย" ในขณะที่ชาวสุรินทร์เองภูมิใจกับชื่อ "กูย" หรือ "กวย" มากกว่า

กฤต พล ศาลางาม ลูกหลานชาวกูยบ้านตา กลาง ปัจจุบันเป็นผู้จัดการศูนย์คชศึกษา จ.สุรินทร์ อธิบายให้ฟังว่า ช่วงก่อนปีพ.ศ.2500 อาชีพหลักของชาวบ้านตากลางคือจับช้างป่า ส่วนการทำไร่ทำนาเป็นอาชีพรอง

ชาว กูยส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่กับการเดินทางและการผจญภัย ตระเวนออกไปจับช้างป่าแถบเขมรตั้งแต่ชายแดน ลงไปทางเสียมราฐ เรื่อยไปถึงอุดมชัยและจำปาศักดิ์ของลาว

"การไปจับช้างป่าครั้งหนึ่ง ใช้เวลา 2-3 เดือน ใช้ช้างเป็นพาหนะ ก่อนจะออกไปจับช้างต้องดูฤกษ์ยาม จากนั้นผู้ใหญ่ในชุมชนจะประกาศว่าใครจะสมัครใจไปร่วมจับช้างบ้าง ก่อนเดินทางทุกคนจะช่วยกันเตรียมเสบียงอาหารให้พร้อม พอถึงฤกษ์ยามก็ทำพิธีไหว้ศาลปะกำก่อน"

"ศาลปะกำ" ที่กฤตพลพูดถึง คือ ที่เก็บรักษาเชือกปะกำ ซึ่งชาวกูยเชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่คอยอารักขาดูแลลูก หลานด้วย

เมื่อออกจากหมู่บ้าน คณะจับช้างป่าจะพักอยู่ข้างๆ หมู่บ้านอีก 3 วัน เพื่อทำ "พิธีประชิ" ผู้ที่ยังไม่เคยผ่านพิธีนี้จะมีตำแหน่งแค่ "มะ" หรือ "ควาญช้าง" เป็นผู้ช่วยอยู่ด้านหลัง ขณะที่ผู้ผ่านพิธีประชิแล้วจะได้เลื่อนขั้นเป็น "หมอจา" มีสิทธินั่งบนคอช้างและใช้เชือกคล้องช้างป่าได้


กฤต พลขยายความว่า ตำแหน่งของหมอช้าง นอกจาก "หมอจา" และ "มะ" ซึ่งเป็นลำดับต่ำสุดแล้ว ยังมี "หมอสะเดียง" "หมอสะดำ" และ "ครูบาใหญ่" หรือ "กำลวงพืด" ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดอีก ในการเลื่อนขั้นจะใช้จำนวนช้างป่าที่จับได้เป็นตัววัด

"เวลาไปหาช้าง คนเดินนำหน้าจะเป็นครูบาใหญ่ คนที่อยู่ข้างหลังเดินเป็นแถวตาม รอฟังสัญญาณให้ตีเข้าไปโอบล้อมช้างป่า คนที่นั่งข้างหน้าเป็นหมอช้างต้องมีความชำนาญจริงๆ เพราะเวลาจับ ช้างจะวิ่ง โอกาสที่จะตกลงมาโดนช้างเหยียบมีมาก ถ้าไม่ชำนาญ การจับช้างป่าก็คือการเสี่ยงตาย ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน แต่ละคนจึงต้องพร้อมที่จะเอาชีวิตมาเสี่ยง" กฤตพลเล่าออกรส

ในการ คล้องช้างป่า หมอช้างจะใช้ "เชือกปะกำ" ที่ปลายข้างหนึ่งเป็นบ่วงบาศ คล้องขาหลังช้างป่าที่ต้องการจับ เชือกปะกำนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการคล้องช้าง ทำจากหนังควายที่เหนียวทนทาน

ดังคำเปรียบเปรยว่า "ช้างแพ้ควาย" ก็ด้วยสาเหตุนี้

การออกป่าครั้งหนึ่งจะจับช้างได้หรือไม่ได้ การปฏิบัติตัวของคนจับช้างก็เป็นสิ่งสำคัญ

ใน การจับช้างป่า ควาญช้าง และหมอช้างจะต้อง "เข้ากรรม" คือปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามสูบบุหรี่บริเวณที่พักช้าง ห้ามร้องรำทำเพลง หรือทะเลาะวิวาท ห้ามพูดจากันด้วยภาษาอื่นนอกจากภาษาผี ให้เรียกชื่อช้างแทนชื่อตัว เพื่อป้องกันไม่ให้ผีป่าพาตัวไป ใครที่ทำได้ก็จะปลอดภัย โชคดี ขณะที่ผู้ฝ่าฝืนอาจได้รับอันตรายต่างๆ เหมือนที่กฤตพลเล่าว่า

"ตาของผมเล่าให้ฟังว่า การผจญภัยของหมอช้างมีทั้งสัตว์ป่านานาชนิด มีทั้งไข้ป่า ถ้าไม่อยู่ในกฎระเบียบก็มีอันตรายรอบด้าน บางคนที่ปฏิบัติตามไม่ได้โดนเสือกัดตายก็มี เดินไปด้วยกัน 4-5 คน คนที่ทำผิดกฎอยู่ตรงกลาง เสือมันก็จ้องเอาคนที่อยู่ตรงกลางนั่นแหละ"

ทายาท หมอช้างบอกอีกว่า กฎระเบียบ ที่ปฏิบัติกันในป่า กลายเป็นเครื่องหล่อหลอมคุณธรรมในตัวผู้ปฏิบัติ เป็นเครื่องมือฝึกคนหนุ่มให้รู้จักเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ คนรุ่นก่อน ถ้าเคยผ่านการไปจับช้างป่าจะอยู่ในหลักเกณฑ์ ปฏิบัติตนดี ขณะที่ลูกหลานรุ่นหลังไม่ค่อยรู้กฎเกณฑ์ มักไปกินเหล้าเมายา จะว่ากล่าวตักเตือนก็ลำบาก

เช่นเดียวกับพ่อหมิวที่บอกว่า ฝึกช้างป่าให้เชื่องยังง่ายกว่าฝึกวัยรุ่นยุคนี้เป็นไหนๆ

"จับ ช้างมันง่ายกว่าจับคน ช้างมันไม่รู้กินเหล้า ไม่รู้เกเรอะไร หาอาหารให้มันกิน มันก็รู้จักเจ้าของ วันสองวันก็พาไปไหนมาไหนได้ แต่กับคนมันฝึกยาก"

ทุกวันนี้ แม้จะไม่มีอาชีพหมอช้างอีกต่อไป แต่ชาวกูยยังมีบทบาทในการช่วยเคลื่อนย้ายช้างป่าที่พลัดถิ่นและเป็นวิทยากร ให้ความรู้กับคนรุ่นหลัง

ถามพ่อหมิวว่า ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองสนใจหมอช้างมากน้อยแค่ไหน หมอช้างรุ่นสุดท้ายตอบแบบไม่ต้องคิด

"โอ๊ย ถ้าเขาสนใจ ผมไม่นั่งอยู่ที่นี่หรอก ผมต้องไปอยู่ในป่าโน่น"